หลายคนเคยเจอว่าเรียนภาษาอังกฤษมานานมาก เเต่ยังไม่เก่งภาษาอังกฤษสักที วันนี้พี่จาเม่ อยากมาทำความเข้าใจกับ verb คืออะไร หรือ คำกริยา เอ๊ะ! มันคืออะไร มันใช้ทำอะไร เเละมันควรเจอตรงไหนในประโยค
คำนิยามของ Verb
Verb คือ อะไร จริง ๆ แล้ว verb หรือ คำกริยา เป็นคำชนิดหนึ่งที่บอกการกระทำ ลักษณะอาการของผู้กระทำ หรือที่เรารู้ดีกันในชื่อว่าประธาน (Subject) ซึ่งจริง ๆ เเล้ว verb นอกจากจะเเสดงการกระทำ หรือ ลักษณะของผู้กระทำเเล้ว verb ที่เจอยังสามารถบอกได้ว่าการกระทำนั้น ๆ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ได้ด้วย
ลองมาดูกับประโยคตัวอย่างกันว่าน้อง ๆ สามารถหาเจอหรือไม่ว่า verb อยู่ที่ไหน
- A man eats an apple in a cafe.
ผู้ชายหนึ่งคนกินเเอปเปิ้ลที่คาเฟ่ จะสังเกตว่าการกระทำหนึ่งเดียวของประโยคนี้ คือ “eats” ซึ่งมีความหมายว่า “กิน”
- Birds fly in the sky.
นกหลาย ๆ ตัว บินอยู่บนฟ้า จะสังเกตว่าการกระทำหนึ่งเดียวของประโยคนี้ คือ “fly” ซึ่งมีความหมายว่า “บิน”
จากตัวอย่างประโยคด้านบน น้อง ๆ จะเห็นว่า Verb จะเเสดงถึงการกระทำของประธานเสมอนะคะ
ตำเเหน่งของ Verb ในประโยค
น้อง ๆ ได้ทราบกันแล้วว่า verb คือ อะไร ต่อไปน้อง ๆ จะสังเกตเห็นว่า ตำแหน่งของ Verb จะอยู่ตามหลัง ประธานเสมอ ๆ โครงสร้างของ verb จะสามารถเเบ่งได้ตามนี้ค่ะ
S + V
A man walks.
A man who talks loudly walks
จะเห็นว่า ประธานทั้ง 2 ประโยคคือ A man เเละ A man who talks loadly เเต่ประโยคที่ 2 มีลักษณะของผู้ชายตรงที่บอกว่าผู้ชายคนไหน ก็คือ ผู้ชายคนที่พูดเสียงดัง ๆ นั่นเอง
S + V + O
A girl drinks water
A girl who dresses a pink blouse drinks water
จะเห็นว่า ประธานทั้ง 2 ประโยคคือ A girl เเละ A girl who dresses a pink blouse เเต่ประโยคที่ 2 มีลักษณะของเด็กผู้หญิงตรงที่บอกว่าเด็กผู้หญิงคนไหน นั่นก็คือ เด็กผู้หญิงคนที่สวมเสื้อสีชมพูไงล่ะ เเละน้อง ๆ จะเห็นว่าสิ่งที่ตามหลัง verb คือ water ที่ทำหน้าที่เป็นกรรม (object) นั่นเอง
S + Vbe + C
A kid is pretty.
The kid in this classroom is pretty.
จะสังเกตเห็นได้ว่า ทั้ง 2 ประโยค มี verb ตัวเดียวกัน คือ is เเต่ประธานต่างหากที่ ในประโยคที่ 2 จะยาวเเละมีรายละเอียดที่มากกว่า
ประเภทของ Verb
นอกจากที่เราจะทราบแล้วว่า verb คือ อะไร น้อง ๆ จะต้องรู้ประเภทของ verb ซึ่ง verb สามารถเเบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มของ verb เเท้ (Finite verb) เป็นกริยาที่เเสดงการกระทำของประธานตามเวลาที่เกิดขึ้น เเละ verb ไม่เเท้ (Non-finite verb) จะเป็นกริยาที่ทำหน้าที่ในการขยาย (modifier) ทำให้ทราบรายละเอียดที่มากขึ้นในประโยค หรือในบางครั้งทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค
A boy drank some water last night.
drank เป็น V2 เเสดงการกระทำของ ประธาน A boy ในอดีต เป็น finite verb
Drinking fresh water is good for your health.
drinking เป็น ประธาน (gerund) เเปลว่า การดื่มน้ำสะอาด เป็น ประธาน เเละไม่ได้ทำหน้าที่เป็น กริยา เป็น non-finite verb เเละมี is เป็น finite verb มีความหมายว่า เป็น อะไรนั่นเอง
Walking on the street is prohibited.
walking เป็น ประธาน (gerund) เเปลว่าการเดินบนถนน เป็น non-finite verb เเต่ว่า verb ของประโยคนี้ ที่เป็น finite verb คือ is prohibited เเปลว่า ถูกห้าม เป็น กริยาเเท้ อยู่ในรูป passive form
The students read the highlighted pages.
read เป็น finite verb ของนักเรียนหลาย ๆ คน เเสดงถึงการกระทำว่าอ่านหนังสือ อาจจะเป็น V1 หรือ V2 ก็ได้ เพราะไม่มีคำบอกเวลา เเต่ highlighted เป็น คำขยาย บอกลักษณะของหน้าหนังสือว่าเป็นหน้าอันไหน เป็นหน้าอันที่ถูกไฮไลท์ เอาไว้ ถือว่าเป็น non-finite verb ในรูป V3
เเบ่งตามความต้องการกรรม
Verb สามารถเเบ่งได้ตามความต้องการกรรม (object) หรือสิ่งที่ถูกกระทำ ซึ่งเวลาที่เราเเสดงการกระทำนั้น การกระทำนั้น ๆ มีความหมายสมบูรณ์โดยไม่จำเป็นต้องมีกรรม เราจะเรียก verb พวกนี้ว่า Intransitive verb เเต่ถ้า verb เหล่านี้ยังต้องการกรรมเพื่อให้การกระทำนั้นเกิดโดยสมบูรณ์ เราจะเรียก verb กลุ่มนี้ว่า Transitive verb
A man eats an apple.
ประโยคนี้ถ้าเราเเปลความหมาย เราจะเเปลว่า ผู้ชายกินแอปเปิ้ล ซึ่งถ้า ไม่มีเเอปเปิ้ลจะทำให้ เกิดข้อสงสัยต่อว่า เเล้วเค้ากินอะไรนะ เพราะฉะนั้น verb “eat” เป็น transitive verb ที่ต้องมีกรรมตามมาเพื่อทำให้ความหมายสมบูรณ์
A man swims.
ประโยคนี้ถ้าเราเเปลความหมาย เราจะเเปลว่า ผู้ชายว่ายน้ำ ซึ่งน้อง ๆ จะเห็นว่าไม่เห็นต้องมี กรรมเลย ความหมายก้อสมบูรณ์เเล้ว เพราะฉะนั้น verb “swim” เป็น intransitive verb ที่ไม่ต้องมีกรรมตามมา
Transitive verb | Meaning | Intransitive verb | Meaning |
---|---|---|---|
borrow | ยืม | agree | เห็นด้วย |
buy | ซื้อ | continue | ทำให้ดำเนินต่อ |
feed | เลี้ยง | die | ตาย |
give | ให้ | float | ลอย |
offer | เสนอ | grow | เจริญเติบโต |
praise | เชิดชู | listen | ฟัง |
read | อ่าน | smile | ยิ้ม |
send | ส่ง | talk | พูด |
tease | ยั่ว | work | ทำงาน |
write | เขียน | yell | ตะโกน |
เเบ่งตามการกระทำเองของประธานหรือประธานที่ถูกกระทำ
ในบางครั้งโครงสร้างประโยคอาจจะพบ กรรม (object) จากชนิดของ Verb ว่ามี หรือ ไม่มีกรรม ถ้าประธานเป็นคนทำการกระทำนั้นเอง จะเป็น active form เเต่ถ้าประธานเป็นคนถูกกระทำ จะเป็น passive form ยกตัวอย่างประโยคเช่น
A girl drinks some juice.
ประโยคนี้ คำสีม่วง drinks ถือว่าเป็น verb ของประโยค ที่มีความหมายว่า ดื่ม ซึ่งมองดูเเล้วพบว่า a girl เด็กผู้หญิง เป็นคนดื่ม น้ำผลไม้พวกนี้เอง เป็น active form
Some juice is drunk by a girl.
ประโยคนี้ คำสีเหลือง is drunk เป็น verb ของประโยค มีความหมายว่า ถูกดื่ม ซึ่ง ประธาน Some juice ไม่มีทางดื่มเองได้ จะต้องถูกดื่มเข้าไป เป็น passive form
น้อง ๆ สังเกตเห็นอะไรไหมคะ?? หากว่า verb ที่น้อง ๆ เห็นมันมีโครงสร้าง Vbe + V3 เราจะเดาได้ทันทีว่า มันจะต้องเป็น Passive form เเน่ ๆ เลยนะคะ อย่าลืมนะคะ ว่า Vbe ตามด้วย V3 ลองดูประโยคต่อไปนี้ กันค่ะ
Wine is produced in France.
น้อง ๆ จะเห็น is เป็น Vbe ตามด้วย produced เป็น V3
The access through the building was closed permanently last month.
น้อง ๆ จะเห็น was ที่เป็น Vbe ในอดีต ตามด้วย closed ที่เป็น V3
เเบ่งตามการผัน
Verb สามารถแบ่งได้ตามการผันค่ะน้อง ๆ ที่คุณครูสมัยประถมให้ท่องอยู่ เป็นประจำ (กริยา 3 ช่อง นั่นเอง) เเต่น้อง ๆ คงจะงงว่าให้ท่องทำไม นี่ไงคะ
V1 ใช้ในเหตุการณ์ในปัจจุบัน
V2 ใช้ในเหตุการณ์ในอดีต
คำถามที่พี่จาเม่ อยากถามคือ V3 ใช้เมื่อไหร่นะ ??
น้อง ๆ คะ พี่บอกเลยว่าน้อง ๆ ต้องคิดว่า เอาไว้ใช้ในอนาคตใช่ไหม? คำตอบก็คือ V3 เอาไว้ใช้ในการที่ประธานถูกกระทำนะคะ เเล้วต้องใช้คู่กับ Vbe ด้วย อย่าลืมนะ !!!
คำถามที่น้อง ๆ จะถามต่อก็คือ เเล้วการกระทำในอนาคตจะต้องใช้อะไรล่ะคะ ??
พี่จาเม่บอกเเบบนี้ค่ะ เวลาเราจะอธิบายการกระทำที่จะเกิดในอนาคต เราจะใช้ will มาช่วยค่ะ ทีนี้ พอหลังจากที่มี will มาช่วย มันจะมีความหมายว่าจะ เราจะต้องเอา verb ที่เเสดงการกระทำมาใส่ต่อ ซึ่งเราจะเอา verb ที่เป็น form ดั้งเดิม ออริจิ เเบบยังไม่ต้องทำอะไรเลยกับ verb ตัวนั้น เรียกว่า Verb infinitive มาต่อท้าย ตามนี้เลยค่ะ
will + Vinf ใช้ในเหตุการณ์อนาคต
ทีนี้ เรามาดูตัวอย่างของการผันกันดีกว่าค่ะ
ยกตัวอย่างของ verb ที่เเปลว่า เดิน
Verb infinitive | V1 | V2 | V3 |
---|---|---|---|
walk | walk/walks | walked | walked |
A man walks. (V1)
A man and a girl walk. (V1)
A man walked. (V2)
A man and a girl walked. (V2)
A man will walk. (will + Vinf)
A man and a girl will walk. (will + Vinf)
ยกตัวอย่างของ verb ที่เเปลว่า วิ่ง
Verb infinitive | V1 | V2 | V3 |
---|---|---|---|
run | run/runs | ran | run |
A lady runs. (V1)
A lady and a boy run. (V1)
A lady ran. (V2)
A lady and a boy ran. (V2)
A lady will run. (will + Vinf)
A lady and a boy will run. (will + Vinf)
เวลาจะผัน verb น้อง ๆ เห็นไหมว่า คำว่า walk เวลาที่เราผัน verb มันจะผันโดยการเติม -ed เข้าไปใน V2 เเละ V3 เราจะเรียก กลุ่ม verb พวกนี้ว่า regular verb
Verb infinitive | V1 | V2 | V3 | Meaning |
---|---|---|---|---|
advise | advise/advises | advised | advised | เเนะนำ |
answer | answer/answers | answered | answered | ตอบ |
cheat | cheat/cheats | cheated | cheated | โกง |
check | check/checks | checked | checked | เชค |
complete | complete/completes | completed | completed | ทำให้สำเร็จ |
learn | learn/learns | learned | learned | เรียน |
move | move/moves | moved | moved | เคลื่อนย้าย |
prepare | prepare/prepares | prepared | prepared | เตรียม |
smash | smash/smashes | smashed | smashed | ชน |
try | try/tries | tried | tried | พยายาม |
เเต่คำว่า run เวลาที่เราจะผันเป็น V2/V3 รูปร่างของมันจะเปลี่ยนไปเป็น ran/run ตามลำดับ ซึ่งเราจะเรียก verb ที่ผันกันเเบบนี้ว่า irregular verb
Verb infinitive | V1 | V2 | V3 | Meaning |
---|---|---|---|---|
awake | awake/awakes | awoke | awaken | ตื่น |
be | is/am/are | was/were | been | เป็น |
become | become/becomes | became | become | กลายเป็น |
choose | choose/chooses | chose | chosen | เลือก |
drive | drive/drives | drove | driven | ขับ |
hurt | hurt/hurts | hurt | hurt | เจ็บ |
leave | leave/leaves | left | left | ออกจาก |
meet | meet/meets | met | met | พบเจอ |
read | read/reads | read | read | อ่าน |
shink | shink/shinks | shank | shunk | จม |
เเบ่งตามช่วงเวลาที่เกิด
อย่างที่พี่จาเม่เล่าให้ฟังเเล้วว่า verb คือ อะไร ทีนี้เวลาเราจะใช้ Verb เราจะต้องนึกถึงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้น เนื่องจากทางฝั่งชาติตะวันตกเนี่ยะ เค้าให้ความสำคัญกับเวลามาก ๆ ค่ะ เพราะฉะนั้นนะคะ ต่อไปจากนี้ เวลาน้อง ๆ จะเเต่งประโยค น้อง ๆ จะต้องนึกว่าเวลาของเหตุการนั้น เกิดเมื่อไหร่ ทั้ง ๆ ที่เป็นการกระทำเดียวกัน วันนี้พี่จาเม่จะขอยกตัวอย่างการใช้เเบบกว้าง ๆ ก่อน เเล้วพี่จาเม่จะอธิบายอย่างละเอียดอีกที ในบทความหน้านะคะ
เกิดขึ้นในปัจจุบัน | V1 | A boy runs today. |
เกิดขึ้นไปเเล้วในอดีต | V2 | A boy ran yesterday. |
ยังไม่เกิดขึ้นเเต่จะเกิดในอนาคต | will + Vinf | A boy will run tomorrow |
เเล้วเราจะเอา Verb ไปใช้อย่างไร
อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า Verb คือ อะไร verb คือ คำที่ใช้อธิบายการกระทำของประธาน verb บางคำมีคำเเปลตาม dictionary มันเเปลเหมือนว่าจะใช้ได้ เเต่เราต้องคิดดี ๆ ว่า การกระทำมันใช่เเบบที่เราต้องการจะสื่อสารหรือไม่ เช่น
close (v) แปลว่า ปิด
ในการใช้ close ที่มีความหมายว่า ปิด นั่นหมายถึง การทำให้สิ่งของมันแคบลง เช่น ปิดประตู ปิดหน้าต่าง เป็นต้น
A woman is closing a door.
ผู้หญิงกำลังปิดประตู ซึ่ง close สามารถใช้ได้กับการกระทำ ปิด ประตูได้ เนื่องจาก ประตูมันจะเเคบลง
ถ้าเราต้องการบอกว่า ผู้หญิง กำลังปิดแอร์ หลายคนคิดว่า เราสามารถใช้ประโยคข้างล่างนี้ได้
A woman is closing an air conditioner.
แต่ !!! เดี๋ยวก่อนค่ะ การปิดแอร์ ในความหมายไม่ได้มีความหมายว่า ทำให้เเอร์ เล็กหรือเเคบลง เเต่จะเป็นการกดปิดเครื่อง ไม่ให้เครื่องทำงาน เราไม่สามารถใช้คำว่า close ได้ เราจะต้องไปหา verb ที่มีความหมายว่า การทำให้เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ไม่ทำงาน นั่นคือ คำว่า turn off (v) ดังนั้น เราจะเขียนประโยคว่า ผู้หญิงกำลังปิดแอร์ ได้ว่า
A woman is turning off an air conditioner.
หลายคนที่สงสัยว่า verb คือ อะไร พี่จาเม่ทำข้อสรุปได้ คือ verb จะทำหน้าที่แสดง action ของประธาน เเละสามารถจำเเนกได้หลากหลายประเภท ที่นี้ถึงคราวที่น้อง ๆ จะต้องลองเเต่งประโยคมาโชว์พี่จาเม่หน่อย ในคอมเม้นท์ด้านล่าง เเล้วอย่าลืม กดไลค์เพจ บ้านEng ด้วยนะคะ
นอกจากน้อง ๆ จะได้เรียนรู้แล้วว่า verb คือ อะไร เรายังมีบทความดี ๆ ที่จะช่วยพัฒนา skill ทางภาษาน้อง ๆ ตามไลฟ์สไตล์ที่น้อง ๆ ชอบ ได้อีกตามลิ้งด้านล่างเลยค่ะ
4 เคล็ดลับสำหรับคนอยากเก่งภาษาอังกฤษ ตามสไตล์พี่จาเม่